เกราะพันผ้า และการแต่งกายอย่างขอมที่หลงเหลือในวัฒนธรรมปัจจุบัน
แม้วัฒนธรรมเขมรโบราณที่เราเรียกว่าขอมจะเสื่อมอำนาจลงในช่วงคริสตศตวรรษที่ 13 -14 จากหลายสาเหตุปัจจัยอย่างการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มเชื้อพระวงศ์ภายใน การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรมความเชื่อของศูนย์กลางอำนาจในแถบที่ลุ่มโตนเลสาบ และปัจจัยการถูกรุกรานโดยกลุ่มอำนาจอื่นอย่างจามปา และสยาม ทำให้อิทธิพลของวัฒนธรรมเขมรโบราณได้เสื่อมลงไป และถูกวัฒนธรรมอื่น อย่างสยามเข้ามามีอิทธิพลเหนือวัฒนธรรมเดิม แต่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของวัฒนธรรมขอมก็ไม่ได้สูญหายไปตลอดกาล
หากดูจากภาพสลักในปราสาทบายน ที่ถูกแกะสลักขึ้นในช่วงรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งเป็นช่วงเวลาหลังจากที่ดินแดนเขมรโบราณเกิดความผันผวนของขั้วอำนาจภายในและภายนอกผ่านการแย่งชิงอำนาจ และการบุกปล้นชิงพระนครโดยกองทัพจามปา ภาพสลักที่แสดงสงครามการเอาชนะจามปาของเหล่ากองทัพเขมรโบราณนั้นแสดงภาพของนักรบที่แต่งกายดูคล้ายการเอาเชือกมาพันรอบตัว สู้ด้วยหอกสั้นและโล่กลม บางคนถือดาบ บางคนถือธนูคันสั้น
ซึ่งเมื่อเทียบกับขบวนทัพขอมในนครวัดที่ถูกสลักในรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในศตวรรษก่อนหน้าของรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ที่นักรบจะสวมชุดคล้ายกับเกราะแผ่นที่อาจจะผลิตมาจากหนังสัตว์หรือโลหะ(ที่สมมติฐานยังไม่สรุปดีทั้งด้านหน้าตา และวัสดุ) ทำให้ดูคล้ายกับว่านักรบเขมรโบราณเหล่านี้มีการเปลี่ยนแปลงของวัสดุในการทำชุดรบออกมาให้ดูด้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ความแตกต่างที่อาจจะเกิดจากรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ได้มีการแผ่ขยายอิทธิพล และเพิ่มขนาดกองทัพขึ้นมามหาศาลเพื่อรบกับไดเวียด และจามปา กองทัพปริมาณมากนั้นต้องการทรัพยากรหนังสัตว์ขนาดใหญ่อย่างมากจนอาจจะเกิดการล่าสัตว์ใหญ่ อย่าง ควายป่า แรด กระทิง วัวแดง กระซู่ (หากทรัพยากรการทำเกราะผลิตมาจากหนัง) ซึ่งการล่าสัตว์จนระบบนิเวศน์เสียหาย จนเมื่อเวลาผ่านไปเพียงศตวรรษเดียว ทรัพยากรของการทำชุดเกราะในดินแดนใต้วัฒนธรรมเขมรโบราณจึงหมดลงพร้อมกับการขาดการสืบต่อวิทยาการการทำเกราะ ทำให้พอมาถึงรัชสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 จึงปรากฏนักรบที่สวมเกราะหนังเช่นนี้น้อยคน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเหล่าทหารยศสูง แต่สำหรับกองทหารไพร่พลต่าง ๆ ที่ออกรบพุ่งนั้น เกราะหนังแบบนครวัดก็ไม่ได้มีให้พบเห็นในผนังปราสาทบายนเป็นหลักอีกต่อไป
เกราะผ้าพันตัว
เมื่อพิจารณาจากลักษณะการพันตัวของนักรบขอมในภาพสลักปราสาทบายนจะเห็นว่ามีลักษณะที่คล้ายคลึงกันในหลาย ๆ ประการ อย่างการพันไขว้ทับหน้าอกตัวเอง แล้วห้อยชายไปด้านหลัง ในขณะที่บริเวณเอวและคอนั้นมีการคล้องรัดขวางลำตัว ในภาพสลักที่นักรบขอมนั้นรบกับพวกจามปาจะเห็นการพันตัวแบบนี้ปรากฏทั้งด้านหน้าด้านหลัง หลายลักษณะ บางคนนั้นใช้การพันตัวเพียงแค่ช่วงลำตัว บางคนพอพันรัดตัวแต่ไม่ยาวมากพอจะทิ้งชายผ้า บางคนก็ยาวจนต้องเอามาทบเอวซ้ำ หรือแม้แต่เอาไปพันกับชายผ้าเตี่ยวเพื่อไม่ให้ชายผ้าห้อยยาวเรี่ยพื้นจนเกะกะ นับว่าการแต่งกายนี้มีรูปแบบทางเดียวกัน ต่างกันที่วัสดุว่ามีมากน้อย
ซึ่งในการจำลองของทั้งทางฝั่งกัมพูชาและไทยปัจจุบันมักจะชี้ไปทางการนำเอาเชือกไปคล้องตัวคล้ายสังวาลย์ และเชื่อว่าเป็นคล้ายเครื่องรางป้องกันตัว (และในช่วงไม่กี่ปีให้หลังที่ฝั่งไทยพยายามทอนว่าเป็นเชือกคล้องนักรบทาสให้ต่อสู้กับกองทัพจามปา ส่วนทางฝั่งกัมพูชาก็จำลองว่าเป็นโซ่เหล็กโซ่ทองเหลืองบ้างก็มี) ซึ่งหากพิจารณาแล้วการนำเชือกมาใส่กันอาวุธดูจะเป็นเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลในการสู้รบ แม้จะมีความเชื่อเรื่องคาถาอาคมคงกระพันก็ตาม
เมื่อมีการสืบค้นภาพหลักฐานเก่าในพื้นที่ที่อยู่ใกล้ชิดกับดินแดนราบลุ่มโตนเลสาบอย่างบริเวณทิวเขาที่ราบสูงที่คั่นระหว่างประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม ที่มีการกระจายตัวของชนพื้นเมืองที่พูดภาษาตระกูลออสโตเอเชียติก(กลุ่มบะนาห์ กะตู) และตระกูลออสโตรนีเชียน(มลาโย กลุ่มจาม) ที่เป็นวัฒนธรรมที่บ้านเราเรียกในเชิงดูแคลนว่า ข่า หรือ ม้อย ในอดีต จะพบว่าในการแต่งกายอย่างนักรบของชนพื้นเมือง จะมีการนำผ้าทอที่ยาวประมาณสามเมตร และหน้ากว้างราว 40 เซนติเมตร แม้ข้อมูลสืบค้นที่พบจะพบว่าการแต่งกายในชุดนักรบแบบนี้พบในกลุ่มนักรบพื้นเมืองหลายกลุ่ม อาทิ จาราย บะนาห์ ละแว เซดัง กะเส็ง และกะตู ที่มีการแต่งกายในลักษณะนี้คล้ายคลึงกันมาก มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยตามลวดลายการทอผ้า และการมัดผูกในบางจุดที่อาจจะหลวมพอคล่องตัวแบบชาวกะตู ไปจนถึงหนามิดชิดและสอดไขว้แบบชาวจาราย
แม้จะมีหลักฐานเชิงภาพถ่ายเก่าในช่วงต้นคริสตศตวรรษที่ 20 แต่หลักฐานของชื่อผ้าที่ใช้แต่งกายในแบบนี้มีพบแค่จากชาวจาราย โดยเรียกผ้านี้ว่า”อบัน” ซึ่งเป็นผ้าทอยาวที่ชายจารายจะนุ่งห่มแบบที่อธิบายด้านบนเมื่อออกรบ และนำมาห่มตัวให้อบอุ่นในเวลาปรกติ ส่วนในข้อมูลจากทางเขมรโบราณ แม้จะปรากฏภาพสลัก แต่ก็ไม่มีข้อมูลถึงชื่อการนำเอาผ้ามาพันตัวเพื่อป้องกันคมอาวุธนี้
ประโยชน์ของการนำผ้ามาพันตัวเป็นชุดเกราะ
หากเทียบประสิทธิภาพการป้องกัน และความหลากหลาย จะพบว่าเมื่อเทียบกับเกราะโลหะ หรือแม้แต่เกราะหนัง เกราะผ้านี้แม้จะกันคมอาวุธฟันแทงได้ แต่ก็ไม่ได้ป้องกันดีมากเท่าวัสดุอื่น ซึ่งประสิทธิภาพการป้องกันจะขึ้นกับความหนาของเนื้อผ้าและจำนวนการทบชั้นให้ผ้านั้นหนาขึ้น (ซึ่งการพันผ้าเป็นเกลียวเป็นภูมิปัญญาหนึ่งที่ทำให้ผ้าหนาและแน่นขึ้น ไม่ต้องใช้การพันตัวรอบหลาย ๆ ชั้นจนจะเกิดปัญหาในการเคลื่อนไหว) ทั้งการพันนี้นั้นมักจะพันในส่วนของลำตัว บางครั้งรวมถึงลำคอ มากกว่าแขน ขา ซึ่งการพันให้แน่นทำได้ยากกว่า และอาจจะหลุดลุ่ยหากมีการขยับตัว ทั้งการพันรอบลำตัวยังป้องกันอวัยวะภายในสำคัญไม่ให้ได้รับบาดเจ็บจากการปะทะฉาบฉวยหรือถูกฟันแทงในระยะตื้น ๆ
แต่ข้อดีของการใช้ผ้าทอยาวนี้ที่สำคัญมากกว่าคือความสามารถในการผลิต เพราะเกราะพันผ้านี้อาศัยวัสดุอย่างใยฝ้ายที่สามารถทอได้ด้วยกี่ทอแบบคล้องเอว ซึ่งเป็นวิทยาการทอที่แพร่หลายในพระนครดังในบันทึกเอกสารของโจวต๋ากวาน ราชทูตจีนที่เดินทางมาอยู่ในพระนคร การทอผ้าที่สามารถผลิตในระดับครัวเรือนนี้ทำให้สามารถผลิตผ้าทอยาวออกมาได้เรื่อย ๆ แม้ว่าประสิทธิภาพของชุดเกราะจะเทียบไม่ได้กับเกราะหนัง แต่ด้วยการผลิตออกมาได้เยอะโดยใช้ทรัพยากรที่ประหยัดกว่า(ในยุคดินแดนโดยรอบพระนครอาจจะไม่เหลือทรัพยากรสัตว์ป่ามากเท่ายุคก่อน) ทำให้การผลิตในระดับครัวเรือนนี้สามารถผลิตกองทัพออกมาได้มากในเวลาเตรียมการที่สั้นกว่าได้
แม้อาณาจักรเขมรโบราณจะเสื่อมอำนาจลงและภายหลังตกอยู่ใต้อิทธิพลของรัฐสยาม แต่ว่าภูมิปัญญาการนำผ้ามาพันตัวของนักรบยังถูกสืบต่อ ๆ มา ผ่านกลุ่มเครือชนพื้นเมืองที่อยู่ในขอบข่ายอิทธิพลวัฒนธรรมขอมโบราณแต่ก่อน ด้วยความสามารถผลิตในระดับชุมชนได้และใช้ทรัพยากรน้อย รวมถึงการที่อิทธิพลของวัฒนธรรมอื่นเข้ามามีอิทธิพลน้อยในแถบทิวเขานั้น จึงทำให้การพันผ้านี้ยังคงอยู่ที่มีการเปลี่ยนแปลงไปไม่มากเมื่อเทียบกับเมื่อสมัยเขมรโบราณ ซึ่งหากสมมติฐานนี้มีความน่าเชื่อถือ ก็อาจเป็นไปได้ว่าแม้ในช่วงที่อาณาจักรเขมรโบราณจะเสื่อมอำนาจลงหลังจากการเปลี่ยนแปลงของพลวัฒน์ภายใน และการสงครามกับรัฐใกล้ชิด นักรบขอมอาจจะนุ่งผ้าพันตัวแบบนี้ออกรบมาอย่างน้อยจนถึงช่วงคริสตศตวรรษที่ 16 ก่อนที่จะเริ่มเปลี่ยนแปลงใต้อิทธิพลของกรุงศรีอยุธยา และรัตนโกสิทร์ จนเกิดการเปลี่ยนแปลงของกองทัพจนมีความคล้ายคลึงกันอย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ตัวอย่างอื่นของการนำเอาผ้ามาพันเป็นเกราะยังสามารถพบหลักฐานได้ในภูมิภาคนี้ เช่น นักรบชาติพันธุ์บูกิดนอน ในหมู่เกาะฟิลิปปินส์ หรือนักรบชาติพันธุ์บาดา บนเกาะฟลอเรส อินโดนีเซีย ซึ่งตัวอย่างภาพจะยกมาแสดงในโอกาสถัด ๆ ไป
สมมติฐานนี้จึงยกข้อสังเกตนี้มาถกประเด็น ด้วยตามหลักฐานที่ปรากฏ จึงขอให้วิจารณ์อย่างเป็นวิชาการนะครับ
อ้างอิง
1. หนังสือ The Armies of Angkor: Military Structure and Weaponry of the Khmer ,ผู้แต่ง Michel Jacq-Hergoualc'h